4
งานหมั้นสายฟ้าแลบ&ศัตรูหัวใจ
หลังจากรับประทานอาหารกับเพื่อนสาวเสร็จ
อนาคินขอตัวขับรถกลับบ้านทันที ไม่มีกะจิตกะใจจะไปไหนต่อ
เพราะในใจเขามีแต่เรื่องว้าวุ่นใจมากเหลือเกิน
อนาคินเดินเข้าบ้านด้วยท่าทางทีที่หงอยเหงา
เดินผ่านห้อง รับแขกโดยไม่ยอมแวะทักทายใคร จนบิดามารดาต้องรั้งตัวไว้ก่อน
“ตาคิน
พ่อกับแม่ขอคุยด้วยหน่อยสิ” อนาคินรู้สึกตัวถึงกับหยุดชะงัก
และเดินย้อนกลับเข้ามาในห้องรับแขกอีกครั้ง
“คุณพ่อคุณแม่มีอะไรหรือเปล่าครับ”
ชายหนุ่มรู้สึกแปลกใจกับรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความสุขของมารดา
“มีข่าวดีอะไรหรือครับ”
อนาคินเลือกถามบิดาแทน ซึ่งท่านนั่งโอบกอดมารดาไว้ไม่ยอมให้ห่างกาย
ช่างเป็นภาพที่น่าประทับใจไม่เคยเปลี่ยน เขาเคยเห็นภาพนี้จนชินตา ตั้งแต่เล็กจนโต
“ข่าวดีของแกไงตาคิน
รู้มั้ยแม่เราดีใจแค่ไหน ถ้าคุณย่าไม่โทรมาบอก พ่อกับแม่ก็คงไม่รู้สินะ” อนาคินขมวดคิ้วเป็นปมด้วยความงุนงง
“เรื่องอะไรครับคุณพ่อ
ผมงงไปหมดแล้ว” เพราะในหัวเขาตอนนี้ไม่ได้คิดอะไร
นอกจากเรื่องของเพียงตะวันคนเดียวเท่านั้น
“ก็เรื่องการหมั้นหมายระหว่างแกกับหนูตะวันไงตาคิน
ทำเป็นลืมไปได้ เรื่องสำคัญของตัวเองแท้ๆ” ภาคีไขความกระจ่างให้บุตรชายตัวดีฟัง
“อ๋อ...ผมลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิทเลยครับ”
อนาคินยิ้มเก้อๆ ให้บิดามารดา
“แต่แม่ยังสงสัยอยู่เรื่องหนึ่ง
ว่าทำไมคินถึงยอมหมั้นกับหนูตะวันล่ะ ทั้งที่คินบอกแม่ว่าคินมีคนที่รักอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”
กานต์ธิดาไม่เข้าใจในตัวบุตรชายสักเท่าไหร่
ไม่รู้แม่สามีเธอไปกล่อมอีท่าไหน ถึงได้ยอมหมั้นง่ายดาย
ไม่ลุกขึ้นมาโวยวายเหมือนวันก่อน สร้างความแปลกประหลาดใจให้เธอยิ่งนัก
ช่างแตกต่างกับวันก่อนที่ยังยืนกรานปฏิเสธเสียงแข็ง อย่างไรก็ไม่ยอมหมั้น
ซึ่งเธอก็คอยสรรหาแต่ผู้หญิงดีๆ เพียบพร้อมทุกอย่าง ทั้งชาติตระกูลและการศึกษา
มาแนะนำให้บุตรชายได้รู้จัก แต่ชายหนุ่มก็ปฏิเสธทุกครั้ง จนเธอแทบอยากจะถอดใจ
ความหวังครั้งสุดท้ายของเธอคือหนูน้อยเพียงตะวัน คนเดียวเท่านั้น
“ใช่ครับคุณแม่เข้าใจไม่ผิดหรอกครับ
ผมมีผู้หญิงที่ผมรักอยู่แล้ว และผมจะไม่ยอมหมั้นหมายกับใคร ถ้าไม่ใช่เธอ” อนาคินเริ่มเปิดใจคุยกับบิดามารดา เพราะเขารู้สึกอึดอัดใจ
อยากจะระบายความในใจออกมา
“อย่าบอกพ่อนะ
ว่าผู้หญิงที่แกรักคือหนูตะวัน” อนาคินลูบไล้ที่ต้นคอไปมา
พยักหน้าอย่างเก้อเขิน ใบหน้าหล่อแดงก่ำ ลามไปจนถึงใบหู
ที่คิดไปแอบหลงรักผู้หญิงที่อ่อนเยาว์กว่าตั้งสิบปี แต่สิ่งที่เขาหวาดกลัวที่สุด
คือช่องว่างระหว่างวัย เขาเห็นหลายคู่แล้วที่เลิกรากันไป
เพราะความคิดเห็นไม่ตรงกัน
“โอ้...คินลูกแม่
แม่ดีใจเหลือเกิน แม่ไม่คิดไม่ฝันว่าความฝันของแม่จะเป็นจริง
ในที่สุดแม่ก็ได้หนูตะวันมาเป็นลูกสะใภ้จริงๆ” กานต์ธิดาลุกเข้ามาโอบกอดบุตรชายด้วยความดีใจ
จนน้ำตาคลอ
“คนที่คุณแม่บังคับ
ให้ผมหมั้นหมายคือตะวันหรือครับ” ถึงชายหนุ่มจะมั่นใจว่าใช่
แต่เขาต้องการ คำยืนยันจากมารดาอีกครั้งหนึ่ง
“ใช่จ้ะ แต่ลูกก็ยืนกรานปฎิเสธหัวชนฝา
และไม่ยอมรับรู้อะไร” กานต์ธิดายิ้มและมองหน้าบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนด้วยความเอ็นดู
“ก็คินกลัวนี่ครับ
กลัวแม่จะบังคับคินเหมือนครั้งก่อน”
“แม่ขอโทษ
ที่ทำให้คินหวาดกลัวที่จะมีคู่ครอง แม่เห็นว่าคินโตพอที่จะมีคู่ชีวิตได้แล้ว
ถ้าคินไม่รักไม่ชอบแม่ก็ไม่บังคับถึงขั้นแต่งงาน
การแต่งงานต้องเริ่มต้นด้วยความรัก ถึงจะได้อยู่กันยืนยาว แม่ถือเรื่องนี้เป็นหลัก
ที่ให้หมั้นหมายกับหนูตะวันเพราะแม่มั่นใจ ว่าหนูตะวันสามารถทำให้ลูกรักได้ไม่ยาก
แม่อยากให้ลองศึกษาดูใจกันไปก่อน และแม่ก็คิดไม่ผิดจริงๆ” อนาคินทรุดตัวคุกเข่าลงพื้น
กราบลงที่ตักมารดา
“คินขอบคุณคุณแม่มากนะครับ
ที่ชี้ทางสว่างให้คิน แต่เรื่องคินแอบรักตะวัน ขอให้เก็บเป็นความลับนะครับ
คินอยากจะบอกเขา ด้วยตัวของคินเอง เมื่อถึงเวลา” บุพการีทั้งสองมองหน้าบุตรชายอย่างไม่เข้าใจ
แต่จำใจต้องพยักหน้ารับปาก ในเมื่อเป็นความต้องการของบุตรชาย
แค่รู้ว่าบุตรชายกำลังมีคู่ครองที่ดี คนที่เป็นพ่อแม่ก็อดที่จะปลาบปลื้มใจไม่ได้
ภาคีดึงภรรยากลับนั่งเคียงข้างเหมือนเดิม จนอนาคินถึงกับส่ายหน้าให้บิดา
กำลังคิดว่า ถ้าเขาแต่งงานกับเพียงตะวันไป เขาจะเป็นอย่างบิดาหรือเปล่า
ข่าวทอล์คออฟเดอะทาวน์เมื่อสองทายาทนักธุรกิจชื่อดัง
เข้าพิธีหมั้นหมายกันแบบสายฟ้าแลบ
ท่ามกลางความแปลกประหลาดใจของบรรดาเพื่อนฝูงและญาติสนิท
โดยเฉพาะแอนนี่หรือแอนนิต้าอดีตคู่ควงของอนาคิน
ครั้งแรกที่เธอได้เห็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ ทำให้เธอถึงกับช็อกไม่คาดคิดว่าสาวน้อยหน้าหวาน
ที่ดูใสซื่อและไม่มีพิษสงอะไร จะมาเป็นคู่แข่งคนสำคัญ
เธอคงประเมินสาวน้อยคนนี้ต่ำเกินไป และไม่คิดว่าอนาคินจะมีรสนิยมต่ำ
ชื่นชอบผู้หญิงหน้าตาจืดชืดแบบนี้ ไม่เห็นจะมีอะไรเทียบเท่าเธอได้เลย
นอกจากความร่ำรวยเท่านั้นเอง ก็แค่หมั้นหมายไม่ใช่งานแต่งงานสักหน่อย
เธอไม่เห็นจะต้องแคร์ แต่ถึงอย่างไรเธอต้องยื้อแย่งเขากลับมาเป็นของเธอให้ได้
ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตาม เธอยอมทำได้ทั้งนั้น
“แอนนี่ยินดีด้วยนะคะคิน”
หญิงสาวฝืนยิ้ม เดินเข้าไปแสดงความยินดีกับชายหนุ่มด้วยความเจ็บปวด
ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ๆ หอมแก้มสากๆ ของชายหนุ่มหนึ่งฟอดใหญ่
อย่างไม่เกรงใจคู่หมั้นสาวและบรรดาญาติๆ ของชายหนุ่ม ที่ยืนอยู่บริเวณใกล้ๆ เลย
เธอยิ้มเยาะที่มุมปากด้วยความสะใจ เมื่อเห็นศัตรูหัวใจ ยืนหน้าซีดอยู่ข้างๆ
“ขอบคุณครับแอนนี่” คงเป็นเพราะความเคยชิน จึงทำให้อนาคินรู้สึกเฉยๆ กับการแสดงออกของอดีตคู่ควงของเขา
แต่ชายหนุ่มกลับไม่รู้สึกตัวเลย
ว่าสร้างความเจ็บช้ำใจให้กับคู่หมั้นสาวเป็นอย่างมาก
“แอนนี่ยินดีด้วยนะคะคุณเพียงตะวัน”
แอนนิต้าเดินเข้าไปสวมกอดเพียงตะวัน และกระซิบกระซาบอะไรบางอย่าง
จนหญิงสาวถึงกับหน้าซีดไร้สีเลือด แต่กลับไม่มีใครสังเกตเห็น
“นางฟ้าเป็นอะไรหรือเปล่า”
ธนพลรีบเดินเข้ามาถามเพื่อนรักด้วยความเป็นห่วง
แต่กลับถูกอนาคินมาขวางทางไว้เสียก่อนด้วยความหวง ชนิดแบบไม่ไว้หน้าใคร
และเขาไม่ชอบให้ชายคนอื่นมาแตะต้องร่างกายของเธอ แม้จะเป็นเพื่อนของเธอก็ตาม
“เดี๋ยวผมดูแลตะวันเอง
คุณไม่ต้องยุ่งหรอก ตะวันไม่สบาย ทำไมไม่บอกพี่หึ ดูสิหน้าซีดเชียวแทบไม่มีสีเลือด
ไปนอนพักสักหน่อยนะ เดี๋ยวพี่พาไป” น้ำเสียงทุ้มนุ่มของชายหนุ่ม
มีไว้สำหรับเพียงตะวันคนเดียวเท่านั้น
และเข้าไปประคองร่างเล็กพาเดินออกไปอย่างอ่อนโยน
สร้างความเจ็บแค้นใจให้กับแอนนิต้าเป็นอย่างมาก และหันไปมองตามทั้งคู่
ด้วยสายตาที่เคียดแค้น แทบอยากจะเดินเข้าไปกระชากศัตรูหัวใจ
แล้วตบสั่งสอนให้หายแค้นใจ แต่ต้องพยายามระงับสติอารมณ์ตัวเองไว้
เพื่อสร้างภาพพจน์ที่ดี ต่อหน้าชายหนุ่มที่เธอรัก
“อย่าแม้แต่จะคิดที่จะแย่งคุณอนาคินไปจากเพื่อนผม
งั้นคุณได้เจอผมแน่” แอนนิต้าตวัดสายตามองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยความไม่พอใจ
ไม่ทันที่เธอจะเอ่ยปากพูดอะไร ชายหนุ่มก็รีบเดินลิ่วๆ ออกไปเสียก่อน
เธอทำได้เพียงแต่กระทืบเท้าด้วยความโมโหสุดฤทธิ์ ที่ทำอะไรชายหนุ่มแปลกหน้าไม่ได้
ธนพลเดินเข้าไปหาคนตัวเล็กของเขาอย่างรวดเร็ว
ด้วยความหึงหวงแบบไม่รู้ตัว เมื่อเห็นชายหนุ่มที่มาร่วมงาน ต่างให้ความสนใจ
ในตัวเธอจนออกนอกหน้า ยิ่งเห็นเธอยิ้มหวานตอบ ให้ผู้ชายพวกนั้น
ก็ทำให้เขาแทบทนไม่ได้ อยากจะเข้าไปกระทืบให้แหลกคาเท้าเขานัก
“ที่รักจ๋า
กำลังคุยอะไรกันอยู่ครับ น่าสนุกเชียว” น้ำเสียงหวานจนน่าขนลุก
แต่นัยน์ตาแทบลุกเป็นไฟ อยากจะแผดเผาหนุ่มหล่อทั้งหลายให้เป็นจุณ
ที่บังอาจมายุ่งกับคนตัวเล็กของเขา ปริมพิตาหันมามองคู่กัดด้วยความงุนงง
กับท่าทีที่เปลี่ยน เมื่อเช้าเจอหน้ากันที่ลาดจอดรถ แทบจะไม่มองหน้าเธอด้วยซ้ำ
ไม่ก่อกวนเธอเหมือนเคย ราวกับคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักกันด้วยซ้ำ
“ที่รงที่รัก...บ้าบออะไรของนายห่ะ”
หญิงสาวหันมากัดฟันพูดกับชายหนุ่มอย่างไม่สบอารมณ์
รู้สึกอับอายคนรอบข้างเป็นอย่างมาก ที่กำลังมองมาที่เธอกับเขาเป็นจุดเดียวกัน
ด้วยความสนใจ
“ไม่ต้องเขินหรอกครับที่รัก”
ธนพลเดินเข้าไปโอบไหล่ร่างเล็กอย่างหวงแหน แค่นั้นยังไม่พอ
ก้มหอมแก้มเนียนโชว์ความหวานเพื่อยืนยันความสัมพันธ์ แถมยังยิ้มระรื่นให้บรรดาหนุ่มๆ
ที่กำลังยืนยิ้มเจื่อนๆ กันเป็นแถว ที่สาวน้อยหน้าหวานมีเจ้าของหัวใจแล้ว
“แฟนผมเขาขี้อายไปหน่อยน่ะครับ”
ปริมพิตาทำหน้าไม่ถูก ยิ้มแหยๆ ด้วยความอายจนใบหน้าแดงก่ำเป็นลูกเชอร์รี่
“ปริมขอตัวก่อนนะคะ”
ปริมพิตารีบขอตัวเดินออกมา ก่อนที่จะอับอายไปมากกว่านี้
และไม่ลืมที่จะลากแขนคนก่อเรื่องให้ตามออกมาชำระความ
“ดึงเบาๆ
หน่อยที่รัก เขาเจ็บนะ” ธนพลโอดครวญจนโอเว่อร์และน่าหมั่นไส้เป็นที่สุดในความรู้สึกของปริมพิตา
อยากจะวีนชายหนุ่มกลางงาน แต่ก็ไม่กล้าพอ เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้
จึงรีบชำระความตัวก่อเรื่องทันที
“ทำบ้าอะไรของนายห่ะ
แล้วฉันไปเป็นแฟนนายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” ปริมพิตาโมโหกลบเกลื่อนความเขินอายภายในใจ
ใจเต้นแรงทุกครั้งเมื่อชายหนุ่มเข้ามาโอบกอด แผ่ซ่านเข้าไปทั่วหัวใจ และรู้สึกอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก
“ใครเขาอยากเป็นแฟนเธอกันยัยตัวแสบ
ฉันแค่อยากแก้เผ็ดเธอเท่านั้นเอง” ธนพลรีบปฏิเสธพัลวัน
และหันเหความสนใจ มองไปรอบๆ งานเลี้ยงแทน
ทำให้เขาไม่สามารถมองเห็นสายตาที่เศร้าสลด
ที่กำลังมองมาที่แผ่นหลังกว้างของชายหนุ่ม
“ปริมเธอเห็นผู้หญิงชุดแดง
ที่ยืนคุยอยู่กับคุณอนาคินที่ริมสระน้ำมั้ย”
“นายเนี่ยนะ
เห็นผู้หญิงสวยเป็นไม่ได้เลย ถ้าสนใจเขาก็ไปบอกเขาสิ จะมาบอกฉันให้ได้อะไรขึ้นมา”
ปริมพิตาอดประชดชายหนุ่มไม่ได้ คงมีเธอคนเดียวเท่านั้น
ที่อยู่นอกสายตาเขาสินะ
“ฉันไม่ได้หื่นกาม
เห็นผู้หญิงเป็นไม่ได้นะปริม และฉันก็ไม่ได้สนใจผู้หญิงคนนั้นด้วย” ธนพลหันมามองหน้าเพื่อนสาวอย่างไม่สบอารมณ์ เขากับเธอไม่เคยคุยกันดีๆ
เกินนาที มีแต่เรื่องให้ทะเลาะตลอดเวลา
“ไม่ใช่แล้วมาชี้ให้ฉันดูทำไมกัน”
“เธอดูสิปริม
เหมือนพี่คินของนางฟ้า จะดูสนิทสนมกับผู้หญิงคนนั้นเหลือเกิน” ปริมพิตาหันไปมองที่สระว่ายน้ำ ก็เป็นไปตามที่ชายหนุ่มพูดจริงๆ
ความสัมพันธ์ทั้งสองคนนั้นดูไม่ใช่ธรรมดาซะแล้ว
ผู้หญิงสาวชุดแดงคนนั้นเกาะแขนอนาคินอย่างสนิทสนม โดยไม่มีความเกรงใจญาติๆ
ของเพียงตะวันเลยด้วยซ้ำ ราวกับว่าเป็นคู่หมั้นเสียเอง ปริมพิตาแอบสะบัดค้อนให้อนาคินแทนเพื่อนรักอย่างหมั่นไส้
“ผู้ชายสมัยนี้
นิสัยแย่เหมือนกันหมด เผลอหน่อยเป็นนอกใจ แล้วตะวันหายไปไหนเนี่ย
ถึงได้ปล่อยแมวไว้กับปลาย่างแบบนี้” หญิงสาวมองไปรอบๆ งาน
มองหาเพื่อนรักอย่างร้อนใจ หรือว่าแอบหนีไปร้องไห้ที่ไหนหรือเปล่า
ปริมพิตาคิดอย่างกังวลใจ
“เธอสนใจเพื่อนด้วยเหรอ
ฉันเห็นเธอหัวเราะร่า โปรยเสน่ห์ให้กับหนุ่มๆ ไปทั่วงาน” ธนพลอดประชดเพื่อนสาวไม่ได้
นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาทีไร ก็หงุดหงิดหัวใจทุกทีสิน่า
เขาก็เริ่มไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน
“นายโจ! พูดกับนายแล้วเสียอารมณ์ ไปหายัยตะวันดีกว่า” หญิงสาวเรียกชายหนุ่มเสียงเข้มอย่างขัดใจ
ก่อนจะสะบัดหน้าหนี แล้วเดินออกไปทันที ก่อนที่เธอจะปรี๊ดแตกเสียก่อน
“อย่าเดินไวสิตัวเล็ก
เดี๋ยวก็ล้มหรอก อายหนุ่มๆ ในงานไม่รู้ด้วยน้า” ธนพลไม่วาย
ส่งเสียงก่อกวนตามหลังหญิงสาวที่เดินลิ่วๆ ออกไป รอยยิ้มค่อยๆ จางหายไป
หันไปมองสองหนุ่มที่ยืนคุยกันริมสระน้ำอีกครั้ง
มีลางสังหรณ์ว่าอาจจะเกิดเรื่องยุ่งตามมาภายหลังเป็นแน่
ปริมพิตาเดินตามหาเพื่อนรักจนทั่วงานแล้วไม่เจอ
หญิงสาวจึงถอยหลังกลับมาทางเดิม จนไม่ทันได้ระวัง
ไปชนกับร่างสูงใหญ่ราวกับตึกของใครเข้าอย่างจัง จนเกือบถลาล้มลง แต่ลำแขนแกร่งเกี่ยวเอวบางไว้ทันท่วงที
“อุ้ย! ปริมขอโทษค่ะ” หญิงสาวรีบยกมือไหว้ ขอโทษขอโพยทันที
จนเป็นที่น่าเอ็นดูสำหรับชายหนุ่มแปลกหน้า
“ไม่เป็นไรหรอกครับ
แล้วคุณเจ็บตรงไหนหรือเปล่าครับ” หญิงสาวเพียงแต่ส่ายหน้าปฏิเสธ
ยิ้มแหยๆ ให้หนุ่มหล่อราวกับเทพบุตรตรงหน้า
“ผมว่าเราไปนั่งที่ศาลาดีกว่าครับ
จะได้ดูว่าคุณเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
“เอ่อ...คือว่าฉันไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ
ค่ะ” ปริมพิตารู้สึกกลัวชายหนุ่มแปลกหน้าจับใจ
จึงเริ่มมองหาธนพลไปรอบๆ งาน หวังให้เขามาช่วยเธอเหมือนเคย
แต่ความหวังต้องพังสลายลง เมื่อเห็นเขากำลังหัวร่อต่อกระซิกกับสาวสวยคนหนึ่งในงานอย่างสนิทสนม
“ค่ะ” หญิงสาวจำต้องเดินตามชายหนุ่มรูปงามไปที่ศาลานั่งเล่น
ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่เธอยืนอยู่สักเท่าไหร่ มีแขกในงานเดินผ่านไปผ่านมา
เขาคงไม่มีอะไร น่ากลัวอย่างที่เธอคิด เพราะท่าทางเขาก็ดูดี
คงไม่ใช่พวกหื่นกามเหมือนใครบางคนหรอก หญิงสาวมิวายแอบประชดคู่อริอยู่ในใจ
“ผมเควินเพื่อนสนิทของอนาคิน
แล้วคุณ...” เควินรู้สึกถูกตาต้องใจสาวน้อยหน้าหวาน
ตรงหน้านี้อย่างบอกไม่ถูก นัยน์ตาช่างใสซื่อบริสุทธิ์ ช่างถูกใจเขานัก
“ปริมพิตาค่ะ
ยินดีที่ได้รู้จักค่ะคุณเควิน” หญิงสาวยกมือไหว้ชายหนุ่มตามธรรมเนียมไทย
ช่างดูน่าชื่นชมในสายตาของเควินมากเหลือเกิน ถึงว่าเพื่อนรักของเขา
ถึงไม่ยอมตกลงปลงใจกับผู้หญิงต่างชาติ
เพราะผู้หญิงไทยน่ารักเรียบร้อยแบบนี้เองสินะ
“เช่นกันครับคุณปริมพิตา”
หญิงสาวรู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย ว่าทำไมชายหนุ่มลูกครึ่งคนนี้
ถึงพูดไทยชัดเจน ยิ่งกว่าเจ้าของภาษาบางคนเสียอีก
“ทำไมคุณเควินพูดภาษาไทยได้คล่องจังคะ”
“อ๋อ...แม่ผมเป็นคนไทยครับ
ท่านสอนให้ผมรู้จักภาษาไทยมาตั้งแต่เด็ก ยิ่งมารู้จักอนาคิน
ก็ใช้ภาษาไทยพูดกันเป็นหลักครับ”
“งั้นคุณเควิน
ก็รู้จักคุณอนาคินมานานแล้วสิคะ” ปริมพิตาหวังจะหาข้อมูลสาวชุดแดงจากเควิน
เผื่อจะได้ช่วยเพื่อนรักอีกทางหนึ่ง
“ก็ตั้งแต่เรียนไฮสคูลครับ
เขาเป็นเพื่อนที่ผมสนิทที่สุดก็ว่าได้”
“ปริม...เอ่อดิฉัน”
หญิงสาวเริ่มแทนตัวเองไม่ถูกว่าควรใช้คำไหน กับคนที่พึ่งเคยรู้จัก
แต่รู้สึกอบอุ่นใจเมื่อได้พูดคุยกับชายหนุ่มตรงหน้าเธอ
เปรียบเหมือนว่าเขาเป็นพี่ชายเธอคนหนึ่ง
“แทนตัวเองว่าปริมดีกว่าครับ
น่ารักกว่าตั้งเยอะ” ปริมพิตารู้สึกเคอะเขิน
เริ่มทำตัวไม่ถูก เมื่อถูกชายหนุ่มรูปงามจ้องมองนานเกินไป
จึงทำให้รู้สึกขาดความมั่นใจไปเลยทีเดียว เสียงกระแอมดังขึ้นจากด้านหลัง
ทำให้หญิงสาวรีบหันไปมองที่ต้นเสียงทันที
“ตะวัน
เธอไปอยู่ตรงไหนของงาน ฉันเดินหาเธอซะทั่วงานเลยรู้มั้ย” ปริมพิตารีบเดินเข้าไปโอบกอดเพื่อนรักด้วยความเป็นห่วง
และพาไปนั่งพักที่ศาลา
“พอดีฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายนิดหน่อยน่ะปริม
พี่คินเขาเลยพาฉันขึ้นไปนอนพักที่ห้องมาน่ะ” เพียงตะวันเอ่ยถึงคู่หมั้นหนุ่มด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ
“เป็นอะไรมากหรือเปล่าตะวัน”
ปริมพิตาแตะตามหน้าผากและซอกคอของเพื่อนรักด้วยความเป็นห่วง