“นายรู้ได้ยังไง
ว่าประธานบริษัทคนใหม่ไม่มาทำงาน อย่าทำเป็นเดาส่งเดชหน่อยเลย” หญิงสาวเดินเลี่ยงออกไปที่ประตู แต่เขากลับเดินไปขวางทางเธอไว้
“เอ๊...นายจะขวางฉันไว้ทำไม
คนยิ่งรีบๆ อยู่” หญิงสาวตวาดแว้ดใส่ทันที ด้วยความไม่พอใจ
ยิ่งเธอรีบๆ อยู่ด้วย
“ก็ฉันนี่แหละประธานคนใหม่”
หญิงสาวถึงกับหยุดชะงัก เงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มให้เต็มตา
ก่อนจะส่ายหน้าไม่เชื่อในคำพูดของเขา
“อย่ามาอำหน่อยเลย
ฉันไม่เชื่อนายหรอก พูดออกมาได้ว่าเป็นประธานบริษัทคนใหม่ ชิ
เป็นประธานหนุ่มคาสโนว่า น่าเชื่อกว่าตั้งเยอะ” หญิงสาวอดที่จะแขวะพ่อคนเสน่ห์แรงไม่ได้
สะบัดหน้าหนี เดินไปที่ตู้รองเท้าที่หน้าประตูทันที
“ไม่เชื่อใช่มั้ยปริม
ได้เดี๋ยวฉันโทรหาคุณลีลาวดีเลขาท่านประธานคนเก่า เพื่อยืนยันให้เธอดู” ปริมพิตาเดินกลับมาหาชายหนุ่มอีกครั้ง
เพราะไปสะดุดชื่อเลขาของประธานบริษัทเข้าอย่างจัง
“นายไปรู้จักพี่วดีตอนไหน
หรือว่านายเคยจีบพี่วดีมาก่อน” หญิงสาวถามออกมาด้วยความแปลกใจ
หรือว่าที่เขาพูดคือเรื่องจริง
“เดี๋ยวก็รู้”
ชายหนุ่มล้วงโทรศัพท์มือถือต่อสายถึงเลขาสาวทันที
และกดเปิดลำโพงนอกเพื่อให้ปริมพิตาได้ยินด้วย เดี๋ยวจะหาว่าเขาโกหกอีก
“คุณลีลาวดีนี่ผมธนพลนะ”
ชายหนุ่มกรอกเสียงลงไปตามสาย มองปริมพิตาอย่างท้าทาย แถมยักคิ้วกวนๆ
ให้หญิงสาวอีกต่างหาก
“ท่านประธานจะเดินทางมาถึงกี่โมงคะ”
ปริมพิตาถึงกับหน้าจ๋อย เดินเลี่ยงไปนั่งที่โซฟา
ส่วนชายหนุ่มก็ถือโอกาสสั่งงานเลขาต่อทันที หลังจากคุยธุระเสร็จ
ชายหนุ่มเดินกลับเข้ามาในห้องรับแขกอีกครั้ง และทรุดตัวนั่งลงข้างๆ หญิงสาว
โอบกอดรอบเอวบาง ฉวยหอมแก้มเนียนหนึ่งฟอดใหญ่อย่างสุขใจ
“เธอเชื่อหรือยังว่าฉันไม่ได้โกหก
หืมปริม” ชายหนุ่มก้มกระซิบที่กกหูขาวของหญิงสาวเบาๆ
สร้างความปั่นป่วนให้แก่หญิงสาวเป็นอย่างมาก
“เชื่อแล้ว”
ปริมพิตาตอบเสียงอ้อมแอ้ม ปล่อยให้ชายหนุ่มโอบกอดไว้ รู้สึกอบอุ่นเมื่อได้อยู่ในอ้อมกอดของเขาแบบนี้
“ปริม” ธนพลกระซิบข้างใบหูหญิงสาวเบาๆ จนเธอต้องเอียงหน้ามองอย่างสงสัย
“เราลองคบกันดีมั้ย”
หญิงสาวหันขวับมามองชายหนุ่มอย่างเต็มตาด้วยความแปลกใจ
หรือเขามาแกล้งเธอเล่นกันแน่
“โจ” ปริมพิตาขานเรียกชื่อชายหนุ่มราวกับละเมอ มือหนาเกลี่ยแก้มหญิงสาวอย่างอ่อนโยน
ปริมพิตาเงยหน้าขึ้นมาประสานตากับชายหนุ่มเข้า
ราวดั่งว่ากำลังต้องมนต์สะกดของกันและกัน
“ว่าไงหึปริม
ตกลงนะ” เสียงทุ้มนุ่มจนหญิงสาวคล้อยตาม
“แน่ใจนะที่พูด
ไม่ใช่แค่หลอกกันเล่น” หญิงสาวพอมีสติบ้าง ถามเขากลับไป
“แน่ใจสิ ฉันไม่เคยแน่ใจอะไรเท่านี้มาก่อนปริม”
ชายหนุ่มดึงร่างบางขึ้นมานั่งบนตัก ซึ่งหญิงสาวก็ไม่ได้ปฏิเสธ
ตวัดแขนเรียวโอบรอบคอชายหนุ่ม
“เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนหรือเปล่า
ทำให้นายตัดสินใจแบบนี้” หญิงสาวถามเขาเบาๆ
ก้มหน้างุดลงด้วยความเขินอาย ถึงแม้เธอจะจำอะไรไม่ได้
แต่ก็ยังรู้สึกอายกับเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ดี
“เรื่องเมื่อคืน...อะไรเหรอปริม”
ชายหนุ่มถามด้วยความงุนงง
จนหญิงสาวสะบัดตัวออกจากอ้อมกอดอย่างแง่งอน
แต่ชายหนุ่มกลับรั้งร่างบางไว้ไม่ยอมปล่อย
“นี้นายลืมไปแล้วใช่มั้ย
ที่นายทำกับฉันเมื่อคืน ปล่อยสิ” เธอพยายามแกะมือเขาออก
และมีสีหน้าที่บึ้งตึงปรากฏบนใบหน้าหญิงสาวจนเห็นได้ชัดเจน
“อ๋อเรื่องที่เป็นเมียฉันนะเหรอ”
ธนพลยิ้มล้อหญิงสาว ด้วยสายตาเจ้าชู้ จนเธอรู้สึกหมั่นไส้
“ไม่ใช่สักหน่อย”
หญิงสาวเบือนหน้าไปทางอื่นอย่างเอียงอาย
แก้มแดงระเรื่อเหมือนลูกเชอรี่ จนชายหนุ่มทนไม่ไหวกับความน่ารักของหญิงสาว
ก้มหอมแก้มเนียนหนึ่งฟอดใหญ่
“เอ๊ะ!...คนฉวยโอกาส” ปริมพิตาหันมาต่อว่าเขาอย่างเง้างอน
อยู่ใกล้ชายหนุ่มทีไร ก็มีแต่เสียเปรียบอยู่ร่ำไป
“ก็เธอน่ารักนี่ปริม”
ชายหนุ่มยิ้มทั้งใบหน้าและสายตาให้คนตัวเล็กในอ้อมกอดเขาด้วยความสุขใจ
“นายโจบ้า!”
หญิงสาวทุบอกเขาด้วยความเขินอาย
เมื่อสบตากรุ้มกริ่มชายหนุ่มรู้สึกใจเต้น แทบทะลักออกมา
“หึ
เขาชมก็หาว่าเขาบ้า ตกลงว่าอย่างไง เป็นแฟนกันนะ” ชายหนุ่มประคองใบหน้าเนียนสวยนั้นขึ้นมาสบตา
เพราะหญิงสาวคอยแต่หลบสายตาเขาตลอดเวลา
“แต่นายมีแฟนแล้วไม่ใช่เหรอ”
หญิงสาวมองเขาด้วยแววตาเศร้าๆ เธอเทียบกับสาวๆ ของเขาไม่ได้เลย
พวกเธอทั้งสวย ทั้งหุ่นดีราวกับนางแบบ จนเธอแอบอิจฉาอยู่ลึกๆ
“ฉันไม่เคยมีแฟนเธอก็รู้
ตั้งแต่ฉันเลิกกับอัม ฉันก็ไม่เคยคบใครเป็นตัวเป็นตนสักที เธอก็เห็น” หญิงสาวมองหน้าชายหนุ่มอย่างครุ่นคิด สิ่งที่เขาพูดออกมาก็ถูกทุกอย่าง
“ถ้านายคิดจะมาเป็นแฟนกับฉัน
นายต้องเลิกยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงทุกคน นายทำได้หรือเปล่า” ปริมพิตาจ้องหน้าชายหนุ่มตาเขม็งอย่างตาไม่กะพริบ
อยากรู้ว่าเขาจะตอบว่าอย่างไร ถ้าเขาบอกว่าไม่ ทุกอย่างก็คงจบ เธอคงทนไม่ได้
ที่จะเห็นเขาควงใครไปไหนต่อหน้าต่อตา แค่ทุกวันนี้เธอก็เจ็บมากพออยู่แล้ว
“ได้สิแค่นี้สบายมาก”
ชายหนุ่มตอบออกมาด้วยความมั่นใจ ไม่มีความลังเลในสายตา
“นายจะรับผิดชอบฉันเรื่องเมื่อคืนใช่มั้ยโจ”
“ไม่ใช่หรอก
มีเหตุผลมากกว่านั้น แต่ฉันยังบอกเธอไม่ได้ตอนนี้” ใบหน้าหวานขมวดคิ้วเป็นปมด้วยความสงสัย
“ทำไมถึงบอกไม่ได้
นายขอฉันเป็นแฟนอยู่นะ ห้ามมีความลับด้วย” หญิงสาวคาดคั้นชายหนุ่มให้เขาพูดออกมา
“ขอให้ฉันมั่นใจให้มากกว่านี้อีกสักหน่อย
ฉันจะบอกเธอเป็นคนแรกปริม ฉันสัญญา” ชายหนุ่มมีสีหน้าเคร่งเครียดราวกับว่ามีเรื่องคิดไม่ตก
“ก็ได้ฉัน
ไม่เซ้าซี้นายก็ได้” หญิงสาวไม่อยากให้ชายหนุ่มที่เธอรักทำหน้าเศร้าแบบนี้
นั้นทำให้เธอคอยทุกข์ใจไปกับเขาด้วย
“ขอบใจนะปริม”
ธนพลจรดริมฝีอุ่น ลงหน้าผากเนียนได้รูปของหญิงสาวอย่างอ่อนโยน
ปริมพิตากอดรอบคอชายหนุ่มไว้ แล้วเอาคางมนเกยไว้ที่ไหล่กว้างของเขา
รู้สึกอุ่นใจทุกครั้งที่ใกล้ อยากกอดเขาไว้แบบนี้นานๆ
“โจ”
“หืม…ว่าไงปริม” มือหนาลูบไล้แผ่นหลังบางไปมา
“เมื่อคืนทำไมฉันเอ่อ...”
หญิงสาวอายเกินกว่าจะพูดคำนั้นออกมา พอนึกถึงเรื่องนี้ทีไร
ก็ทำให้ใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
“ฉันทำไมปริม” ชายหนุ่มผลักหญิงสาวออกห่างกายเล็กน้อย มองหน้าแดงระเรื่อ
ช่างน่ารักน่าจูบในสายตาชายหนุ่มเหลือเกิน
“เอ่อ...คือว่าเมื่อคืน...โอ้ย!ฉันไม่พูดแล้ว” หญิงสาวสะบัดตัวแล้วจะลุกขึ้น
เธอเปลี่ยนใจกะทันหัน ไม่กล้าถามเขาขึ้นมาดื้อๆ ถามไปก็ทำให้ตัวเองอายเปล่าๆ
ธนพลส่ายหน้าให้กับคนขี้อาย เดินเข้าไปสวมกอดเธอจากด้านหลัง อดใจไม่ได้ที่จะก้มจุมพิตที่แก้มเนียนใส
“เมื่อคืนทำไมหืม
ปริม มีอะไรที่ยังข้องใจอยู่ เราก็เหมือนเป็นคนๆ เดียวกันแล้วนะ”
“เอ่อ...คือว่าเมื่อคืนทำไมฉันถึงไม่รู้สึกตัวเลยล่ะ
เขาบอกว่า เวลามีอะไรกันครั้งแรกจะเจ็บไม่ใช่เหรอ”
หญิงสาวพูดเสียงอ้อมแอ้มอยู่ในลำคอ แต่ชายหนุ่มพอจับใจความได้
ทำให้รู้สึกผิดอยู่ไม่น้อยที่โกหกเธอไปแบบนั้น แต่เขาไม่อยากเสียเธอไปให้ใครจริงๆ
“เอ่อ...คือว่า”
ธนพลไม่รู้จะเริ่มต้นอธิบายเรื่องนี้อย่างไรดี
ใจหนึ่งเขาก็ไม่อยากโกหก กลัวเรื่องจะบานปลายลุกลามไปกันใหญ่
แต่ถ้าเขาสารภาพผิดตอนนี้ มีหวังถูกคนตัวเล็กงอนไม่หายแน่ ยิ่งแสนงอนอยู่ด้วย
และเขาพึ่งได้แอบไปสร้างหลักฐานเท็จมาสดๆร้อนๆ
หลังจากหญิงสาววิ่งเข้าไปในห้องน้ำได้เพียงไม่นาน
เสียงข้อความในโทรศัพท์มือถือของหญิงสาวก็ดังขึ้น เพราะความอยากรู้อยากเห็น
จึงยอมเสียมารยาท กดเปิดดูทันทีอย่างไม่รีรอ พอเห็นว่าศัตรูหัวใจอย่างเควินส่งข้อความแสดงความห่วงใยมาให้หญิงสาว
ธนพลถึงกับมีแววตาลุกโชนขึ้นมาทันที ด้วยความไม่ชอบใจเป็นอย่างมาก
เหมือนว่ากำลังจะถูกแย่งของรักของหวงไป เขาคงต้องทำอะไรสักอย่าง
เพื่อไม่ให้สูญเสียปริมพิตาให้แก่ศัตรูหัวใจอย่างเควินไป ถึงขนาดยอมลงทุนทำเรื่องน่าอาย
โดยการเอาคัตเตอร์ที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานของหญิงสาว มากรีดนิ้วตัวเอง
เพื่อสร้างรอยเลือดบนเตียงนอนของหญิงสาว เพื่อให้สมจริงกับเรื่องที่เขาโกหกมากขึ้น
เพราะเขารู้จักนิสัยของปริมพิตาดี ว่าจะไม่ยอมปักใจเชื่ออะไรง่ายๆ
โดยไม่มีหลักฐานมายืนยัน ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่น
เขาคงไม่ต้องลงทุนทำอะไรมากมายขนาดนี้ แต่เพราะเธอเป็นคนพิเศษสำหรับเขา
ความรู้สึกแบบนี้ไม่เคยเกิดกับเขามาก่อน หลังจากถูกแฟนสาวหักอกไปอย่างเลือดเย็น
จนเขาคิดว่าชาตินี้คงไม่สามารถที่จะรักผู้หญิงคนไหนได้อีกแล้วในชีวิต
นอกจากมารดาผู้ให้กำเนิด แต่ปริมพิตาเป็นคนที่ทำให้ความคิดเขาเปลี่ยนไป
อย่างไรซะเธอต้องรับผิดชอบ
“ว่าไงโจ
ทำไมนายถึงเงียบไป” หญิงสาวพลิกตัวแหงนหน้าขึ้นมาถามเขาด้วยความสงสัย
ชายหนุ่มสูดลมหายใจเขาลึกๆ เรียกกำลังใจให้กับตัวเอง
“เธอคงเบลอๆ
เพราะฤทธิ์ยาที่ไอ้หมอจัดให้ทานนั่นแหละ ทำให้ไม่รู้สึกตัว” ชายหนุ่มลอบถอนหายใจเบาๆ
เพื่อไม่ให้หญิงสาวจับสังเกตได้
“ทำไมนายถึงต้องทำกับฉันแบบนั้นด้วย
เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอโจ” หญิงสาวหลุบตาต่ำลง
มองไปที่แผ่นอกแกร่งของชายหนุ่มแทน เพื่อปิดซ่อนความเขินอาย
กระด้างปากที่จะพูดเรื่องนี้ขึ้นมา แต่ก็สงสัยในเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ไม่น้อย
“เพื่อนมีอะไรด้วยกันก็ถมเถไป
อย่างยัยจิ๊บกับไอ้แจ๊คไง เธอยังจำได้หรือเปล่า ตอนที่กลุ่มเรา นัดกันไปฉลอง
กันตอนเรียนจบที่พัทยาไง” หญิงสาวพยักหน้า
เพราะเธอยังจำเรื่องนั้นได้ดี แบบนี้คงไม่มีความหมายกับเขาสินะ
หญิงสาวดันตัวออกจากอ้อมกอดชายหนุ่ม รู้สึกน้อยใจขึ้นมาทันที
ในเมื่อเรื่องที่เกิดขึ้นไม่มีค่า มีความหมายสำหรับเขา เธอก็ไม่จำเป็นต้องฝืนใจเขา
ให้คบหากับเธอต่อไป
“นายกลับไปเถอะโจ
ต่อไป...ไม่ต้องมาที่นี่อีก” พอพูดจบหญิงสาวรีบวิ่งขึ้นห้องไปทันที
ชายหนุ่มถึงกับยืนอึ้งไปชั่วขณะ พอตั้งสติได้
จึงรีบวิ่งตามไปดักหน้าหญิงสาวไว้ก่อน
“ปริม
มาคุยกันให้รู้เรื่องก่อนสิ เป็นอะไรไปอีกล่ะ ฉันตามอารมณ์เธอไม่ทันแล้วรู้มั้ย”
หญิงสาวพยายามแกะมือชายหนุ่มออกจากแขนเรียวเล็ก
เพราะตอนนี้เธอยังไม่พร้อมจะคุยอะไรกับเขาทั้งนั้น ยิ่งเห็นหน้าก็ยิ่งเจ็บปวด
“แค่นี้ยังไม่ชัดเจนพออีกหรือไงธนพล
ไปสิ!กลับไปซะ และไม่ต้องมาเหยียบที่นี่อีก” ปริมพิตาเบือนหน้าหนี ขอบตาเริ่มร้อนผ่าว แทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
“ไม่ ฉันไม่กลับ”
ชายหนุ่มกระชากหญิงสาวกอดไว้แน่น
จนเธอแทบกระดุกกระดิกตัวไปไหนไม่ได้เลย ได้แต่ร้องอู้อี้ที่ซอกคอแกร่ง
“ปริม เราพูดกันเข้าใจแล้วไม่ใช่เหรอหึ
บอกฉันสิว่าเกิดอะไรขึ้น” ชายหนุ่มยังกอดรัดหญิงสาวไม่ยอมปล่อย
“ปล่อยสิ! ฉันเกลียดนาย ได้ยินมั้ยว่าฉัน...”
คำว่าเกลียดถูกปากอุ่นดูดกลืนเข้าไปในลำคอ เขารู้สึกแปลบแทบทนไม่ได้
บดขยี้ริมฝีปากบางอย่างเร่าร้อนแทบหายใจไม่ทัน ชาวาบไปทั้งร่าง
ก่อนผลักร่างบางออกอย่างเสียดาย
“อย่าพูดคำนี้ออกมาอีก
ถ้าไม่อยากถูกจูบ” ชายหนุ่มกดเสียงต่ำ
พยายามควบคุมอารมณ์ไม่ให้แตกกระเจิงไปมากกว่านี้ ไม่รู้ว่าทำไมคนตัวเล็ก
ถึงได้มีอิทธิพลกับเขามากมายถึงเพียงนี้ ทุกครั้งที่อยู่ใกล้ๆ
ก็ทำให้เขาเกือบควบคุมอารมณ์ใฝ่ต่ำของตัวเองไม่อยู่แทบทุกครั้ง
“...” ร่างบางหลุบตาต่ำลง ก้มมองแผ่นอกแทน ปิดซ่อนความอาย
ใบหน้าแดงระเรื่อเป็นลูกเชอร์รี่ รู้สึกใจเต้นแรงตลอดเวลา
“ได้ยินที่พูดหรือเปล่าปริม”
ชายหนุ่มเชยคางมนให้เงยหน้าขึ้นมาสบสายตา
ก่อนจะจุมพิตลงตรงหน้าผากเนียนได้รูปของหญิงสาวอย่างอ่อนโยน
“ว่าไงหืม” ใบหน้าหล่อขยับเข้าแนบชิดใบหน้าเนียนใส
ปลายจมูกคมถูไถไปตามร่องแก้มอย่างอ่อนโยน
ใบหน้าหญิงสาวถึงกับร้อนผ่าวด้วยความเคอะเขิน
“โจ” เสียงหวานขานเรียกชายหนุ่มราวกระซิบ ปากอุ่นแนบชิดริมฝีบางอย่างอดใจไม่ไหว
“อย่า” เสียงร้องห้ามเปลี่ยนเป็นเสียงครวญครางเข้ามาแทนที่
ปลายลิ้นอุ่นเข้าไปสำรวจโพรงปากนุ่มของหญิงสาวอย่างรัญจวนใจ
ลิ้นร้อนตวัดไปทุกซอกทุกมุมภายในโพรงปากของหญิงสาว
เก็บเกี่ยวความหอมหวานอย่างไม่รู้จักเบื่อ แขนเรียวเล็กตวัดรอบคอแกร่ง
แหงนหน้าขึ้นรับจุมพิตอย่างเต็มใจ ตวัดลิ้นนุ่มส่งไปทักทาย อย่างกล้าๆ กลัวๆ
ชายหนุ่มถึงครางเสียงออกมาด้วยความพึ่งพอใจ เสียงโทรศัพท์บ้านดังขึ้น
เรียกสติให้หญิงสาวกลับคืนมาอีกครั้ง รีบหันหลังให้ชายหนุ่มด้วยความเขินอาย
พอตั้งสติได้ จึงรีบเดินลงไปรับโทรศัพท์ที่เคาน์เตอร์ทันที
“ปริมพิตาพูดค่ะ”
เสียงหวานกรอกเสียงตามสายลงไป ธนพลเดินมาซ้อนด้านหลังของหญิงสาว
และคอยตะแคงหูฟัง ว่าใครโทรมาหาเธอตั้งแต่เช้ากัน
“คุณปริมเป็นยังไงบ้างครับ
ผมเป็นห่วงแทบแย่ โทรเข้ามือถือคุณก็ไม่ยอมรับสาย”
“ปริมขอโทษค่ะคุณเคน”
พอรู้ว่าใครโทรมาหาเธอ
ธนาพลไม่รอช้ากระชากโทรศัพท์จากมือหญิงสาวด้วยความหึงหวง
และกระแทกหูโทรศัพท์วางลงตรงแป้นดังโครม ด้วยความโมโห
แค่นั้นยังไม่พอเดินตรงไปดึงสายโทรศัพท์บ้านออกทันที ป้องกันมารหัวใจ
โทรเข้ามาหาหญิงสาวอีก
“นี้มันจะมากไปแล้วนะ
นายทำแบบนี้เสียมารยาทมากรู้มั้ย ฉันยังคุยกับคุณเคนไม่รู้เรื่องเลย” หญิงสาวหันไปตวาดเสียงแว้ดๆใส่ชายหนุ่มด้วยความไม่พอใจสุดๆ
“ฉันขอสั่งห้ามเธอติดต่อกับเจ้าหมอนั่นอีก
นี่เป็นคำสั่ง” ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เคร่งเครียด
พยายามสะกดอารมณ์ความหึงหวงของตัวเองไว้ ไม่ให้แสดงออกมามากเกินไป
“นายมันบ้าไปแล้วโจ”
“ใช่ฉันมันบ้า ฉันมันบ้า
ก็เพราะเธอไงปริมพิตา” ชายหนุ่มรวบตัวหญิงสาวมากอดไว้แน่น จนเธอดิ้นขัดขืน
แต่อย่างไรก็ไม่สำเร็จ เขายิ่งกอดกระชับแน่นขึ้น
“ปล่อยฉันสิ
ฉันอึดอัดนะโจ” หญิงสาวดิ้นขลุกขลักในอ้อมกอดของชายหนุ่ม
แหงนมองหน้าเขาอย่างขัดใจ
“ปริมเธอรู้มั้ย
ว่าฉันชอบเธอมากนะ ฉันไม่อยากสูญเสียเธอไปให้ใครทั้งนั้น เข้าใจมั้ยปริม” ปริมพิตาถึงกับเบิกตาโพลงด้วยความตกใจสุดขีด ในคำสารภาพของธนพล
เธอไม่คาดคิด คาดฝันมาก่อน ว่าจะได้ยินคำนี้จากปากของชายหนุ่มที่เธอแอบรัก
ถึงไม่ใช่คำสารภาพรัก แค่ชอบเธอก็ดีใจ จนระงับอาการไม่อยู่แล้ว อยากร้องกรี๊ดออกมาดังๆ
ให้ลั่นบ้าน แต่ก็ไม่กล้าพอ
“โจนายพูดอะไรออกมารู้ตัวหรือเปล่า”
เธอถามราวกับเสียงละเมอ ธนพลผลักหญิงสาวออกจากอ้อมกอดเล็กน้อย
มองหน้าคนตัวเล็กให้เต็มตา ยิ้มให้หญิงสาวอย่างอ่อนโยน
“ฉันรู้ตัวดีทุกอย่างปริม
ฉันบอกไม่ได้ว่าเริ่มต้นชอบเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ยิ่งนานวัน
ยิ่งเพิ่มทวีคูณขึ้นทุกวัน อย่างไม่มีวันสิ้นสุด” ทั้งสองหนุ่มสาวจึงตกในภวังค์ห้วงแห่งความรัก
ปากอุ่นจรดลงที่แก้มเนียนใสแดงระเรื่อด้วยความเอ็นดู
“นายพูดเรื่องจริงใช่มั้ยโจ”
มือเล็กลูบไล้แก้มสากๆ ของชายหนุ่มไปมา อย่างอ่อนโยน
“ต้องพิสูจน์ยังไงเธอถึงจะเชื่อหืม
ปริม หรือว่าต้องแบบนี้” ชายหนุ่มพูดจบเริ่มปฏิบัติการ
การพิสูจน์คำพูดของตัวเองทันที จนหญิงสาวไม่ทันได้ตั้งตัว
ดวงตาหวานซึ้งเบิกตากว้าง เมื่อปากอุ่นเข้าประกบริมฝีบางของเธออีกครั้ง
ปลายลิ้นอุ่นเข้าไปสำรวจโพรงปากนุ่ม ซึ่งเขารู้ดีว่าหวานเพียงใด
ปลายลิ้นอุ่นตวัดหยอกเย้าปลายลิ้นนุ่ม ก่อนจะตวัดเกี่ยวลิ้นเล็ก
ดูดเล็มความหอมหวานของโพรงปากนุ่มอย่างไม่รู้จักพอ
สร้างความหวาบหวามให้แก่หญิงสาวเป็นอย่างมาก ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความเร่าร้อน
จนทำให้หญิงสาวถึงกับเคลิบเคลิ้มตาม ยกแขนเรียวโอบกอดรอบคอชายหนุ่ม
แหงนหน้าขึ้นรับจูบของเขาอย่างเต็มใจ เผลอจูบตอบกลับไปอย่างไร้เดียงสา
เสียงกดกริ่งดังขึ้นที่ประตูหน้าบ้าน
ทำให้ทั้งสองหนุ่มสาวผละออกจากกันโดยอัตโนมัติ